Feb 21 , 2017 7 ข้อต่อไปนี้ที่ "มือใหม่" และ "มือเก่า" ห้ามลืม ! ปัญหา "รถติด" เกิดจากสาเหตุใด ? หลายท่านมีคำตอบมากกว่า 1 ข้ออยู่ในใจแน่นอน ! จากปัญหานานัปการ นับวันรถจำนวนมหาศาลจะเต็มทุกพื้นที่บนท้องถนน ในขณะที่มีพื้นผิวถนนเท่าเดิม ปัญหาการจราจรก็ตามมาเป็นเงาตามตัว คงไม่มีรัฐบาลชุดไหนๆ ที่จะอาสามาแก้ปัญหารถติดไปได้อย่างแน่นอน ถ้าเราไม่ช่วยกัน หลายคนบ่น ! ถ้าระบบสาธารณูปโภคบ้านเราคล่องตัวมีให้บริการอย่างครบวงจร "ผม" "ฉัน" "หนู"... ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรถหรอก...!?! ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จำนวนการใช้รถก็ย่อมลดลงอย่างแน่นอน และถ้าสิ่งที่เราฝัน ยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ จำนวนการใช้รถก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เราก็ควรมาเริ่มที่ตัวผู้ขับขี่กันเลยดีกว่า โดยเฉพาะผู้ขับขี่ “มือใหม่” ที่แค่ ”ขับได้” ก็ขับออกถนนกันแล้ว ถึงแม้จะผ่านโรงเรียนสอนขับรถมาแล้วก็ตาม แต่เอาเข้าจริงก็ได้แค่ใบขับขี่แล้วจบกัน ทั้งที่ความจริงการขับรถต้องมีอะไรมากกว่าใบขับขี่แค่ใบขับขี่ 1 ใบที่บอกว่าอนุญาตให้ขับรถได้ เรื่องที่รู้อยู่แล้ว อย่างกฎจราจรต่างๆ คงไม่จำเป็นที่ต้องเริ่มต้นเล่าแบบนับหนึ่ง หากใครหลงลืมข้อไหนไป เสริชหาความรู้ใน Google ได้เลย แต่วันนี้ถ้าคุณเพิ่งขับรถ หรือคนที่ขับรถมานาน แต่อาจลืม ! บางสิ่งที่จำเป็น มาดูซิว่าหลักการพื้นๆ เหล่านี้ คุณได้ใช้มันบ่อยแค่ไหน ? มาดูกันเลย 1.ไฟเลี้ยว ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ แต่มีหลายคนไม่ค่อยใช้ !?! เพราะอะไรมาดูกัน > ไฟเลี้ยว วิศวกรก็ได้ออกแบบมาเป็นแบบสากลที่อยู่ใกล้มือผู้ขับขี่ และสะดวกในการใช้มากที่สุด เพราะถ้าคุณเปิดใช้เวลาจะเลี้ยว จะแซง หรือจะกลับรถ...เมื่อไร ? มันจะช่วยอำนวยความปลอดภัยในการบอกทิศทางให้กับเพื่อนร่วมทางที่ขับตามหลังเรามาได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่อยากเลี้ยวก็เลี้ยว อยากแซงก็แซง ถ้าคุณคิด หรือหลายคนลืม ! แบบนี้ อุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอน คลิกดูผล การไม่ให้สัญาณ เวลาจะเลี้ยว จะแซง...> 2.ไฟฉุกเฉิน ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ ! ไฟฉุกเฉิน สัญลักษณ์เป็นรูปสามเหลี่ยม หรือไม่ก็มีคำว่า EMERGENCY แทน ถ้าสังเกตตำแหน่งที่อยู่ ซึ่งโรงงานผู้ผลิตเขาเลือกให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใกล้และไม่ไกลนัก นั่นคือ ผู้ขับสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ถึงขั้นสะดวกเหมือนสวิทช์ไฟเลี้ยว (กลับไม่ค่อยมีคนใช้ เวลาจะเลี้ยว...!!!???) แต่มีหลายคนใช้ไม่ถูกวิธี เพราะเมื่อคุณเปิดไฟฉุกเฉิน คือการที่เราส่งสัญญาณแสดงไฟเลี้ยวทั้งสองข้างพร้อมกัน และคำว่าฉุกเฉินก็ย่อมหมายถึงว่า รถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อได้ หรือเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น หลายคนอาจจะเคยถูกสอนมาว่าให้เปิดไฟฉุกเฉินยามฝนตก หรือช่วงข้ามแยกไม่มีสัญญาณไฟ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแนวคิดที่ผิด เนื่องจากจะทำให้ผู้ขับขี่ที่ตามหลังมาเกิดความสับสนและอาจจะนำไปสู่อุบัติเหตุได้ในที่สุด (ดูคลิป: >ไฟฉุกเฉิน ใช้ตอนไหน) 3. เบรค...ใช้เมื่อหยุดเท่านั้น ! มีผู้ใช้รถหลายคน “เบรค” โดยไม่มีสาเหตุ เบรค อยู่นั่นแหละ ข้างหน้าว่าง...ทิ้งระยะห่าง...เป็นวา เคยเจอไหม ? หาจังหวะแซงรถคันนี้ดู อาจจะเห็นคนขับคันดังกล่าว-กำลัง...คุยหรือเล่นโทรศัพท์-สูบบุหรี่-ทานอาหาร ฯลฯ สารพัดพฤติกรรม ถ้าคุณขับตามรถประเภทนี้ ให้หาจังหวะแซงนี้ไปเถอะ! ...ใครยังมีพฤติกรรมดังกล่าว โปรดหยุด ! โดยด่วน ซึ่งนอกจากจะสร้างความรำคาญให้กับรถที่ต่อหลังท่านมา แล้วยังทำให้เกิดรถติด และที่สำคัญรถของท่านอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย เพราะพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าว ทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ ปฏิกิริยาตอบสนองช้า การสูญเสียสมาธิขณะขับขี่เป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของการเกิด อุบัติเหตุ เพราะโดยปกติแล้ว เบรค จะถูกใช้ เมื่อ ชะลอความเร็ว และหยุดรถ แต่ด้วยความเข้าใจในเรื่องการชะลอความเร็วนี่เอง ทำให้มือใหม่หลายคนขับรถ โดยแตะเบรคแทบตลอดเวลา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้ขับขี่คนอื่น เนื่องจากเวลาเบรคไฟเบรคทางด้านหลังก็จะติดด้วย เช่นเดียวกับการการทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าที่ควรจะเป็นเพียงเพราะต้องการรักษาความเร็ว ทางแก้ของปัญหานี้คือ ต้องหัดการควบคุมคันเร่ง ซึ่งโรงเรียนสอนขับรถส่วนใหญ่ไม่ได้สอนเรื่องนี้มาด้วย แต่หากวันนี้ใครเป็นคนที่ขับรถแล้ว ติดต้องใช้เบรค ลองเริ่มต้นด้วยการผ่อนคันเร่งก่อน แล้วกลับค่อยๆ เหยียบไปให้น้ำหนักตามความเร็วที่ต้องการดู น่าจะดีกว่า แม้อาจจะไม่ชินในช่วงแรกแต่ท้ายที่สุดเมื่อเข้าใจในการทำงานก็จะรู้ว่าเบรคไม่ใช่ทุกสิ่งที่สามารถชะลอความเร็วได้ 4. "แตร" ใช้ได้ (เพื่อเตือน) แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยใช้ สัญญาณแตร คือ สัญญาณเสียงที่ใช้เตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวัง โดยแจ้งให้รู้ว่าตำแหน่งของรถที่ให้สัญญาณอยู่ที่ใด การใช้สัญญาณแตรที่ถูกต้องนั้น ควรเปิดสัญญาณสั้นๆ ห้ามใช้สัญญาณแตรยาวเกินควรโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นจริงๆ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และควรให้สัญญาณแตรเมื่อขับรถผ่านบริเวณทางโค้งหักศอก ที่มองไม่เห็นรถที่วิ่งสวนมาหรือมุมอับ และตามซอยที่มีกำแพงทึบบังอยู่เพื่อส่งสัญญาณให้กับรถคันอื่น ข้อสำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้แตรสัญญาณเพื่อต่อว่าผู้ขับขี่อื่น ขณะเดียวกันการเปิดเครื่องเสียงรถยนต์ควรเปิดที่ระดับความดังที่แนะนำก็คือไม่ควรเกิน 85-90 เดซิเบล เพราะเสียงดังเกินกว่าที่ระบุ จะเป็นการทำลายประสาทหูของผู้ที่อยู่ภายในรถโดยไม่รู้ตัว และการเปิดเครื่องเสียงดังเกินไป จะทำให้ผู้ขับขี่ไม่ได้ยินเสียงแตรหรือเสียงสัญญาณอื่นๆ ที่รถคันอื่นต้องการส่งสัญญาณให้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดตามมา ความจริงของการใช้รถในภาคสากล แตรคือ สัญญาณเตือน ไม่ใช่การยกไฟสูงใส่ มีเพียงไม่กี่ที่ ที่ห้ามใช้ได้แก่ สถานศึกษา วัด และโรงพยาบาล ส่วนที่อื่นไม่ได้ห้ามอย่างชัดเจน ดังนั้นหากพบปัญหาที่อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุสิ่งที่ควรทำคือ การบีบแตร เพื่อเตือนเพื่อนร่วมทาง แต่ก็ไม่ใช้พร่ำเพรื่อเสียจนเกิดความรำคาญก็แล้วกัน 5. ขับคร่อมเลนถนน จะไปทางไหนก็ไม่ไป การขับไปซ้ายที ขวาที แป๊ปๆ วกกลับเข้ามาเลนเดิม แถมยังคร่อมเลนไปมา กินพื้นที่เลนข้างๆ อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับรถที่ขับตามหลัง เพราะเขาไม่สามารถรู้ได้ว่า คุณจะไปทางไหนกันแน่ และอีกอย่างเวลาเลี้ยวเข้า หรือเลี้ยวออก ก็ควรจะขับให้ตรงเลน ไม่เช่นนั้นอาจเฉี่ยวชน หรือเบียดกับรถคันอื่นได้ 6. ขับเร็ววิ่งขวา ขับช้าวิ่งกลาง ข้อนี้สำคัญและพบบ่อย สำหรับมือใหม่ หรือมือเก่า ที่ขับช้าแล้วยังวิ่งเลนขาวสุด มือใหม่ห้ามเลียนแบบเด็ดขาด ! ก็ไม่ทราบสาเหตุด้วยเหตุผลประการใด ว่าบางคันขับช้าแล้วยังวิ่งแช่เลนขวา รถคันหลังบีบแตรเตือน กดไฟสูงขอทางเตือน ก็ไม่ยอมให้ทาง หรืออาจไม่ได้ยินเสียงแตร เพราะเปิดวิทยุเสียงดัง หรือมัวคุยโทรศัพท์ระหว่างขับ หรือมองไม่เห็นไฟสูงขอทาง เพราะขับรถไม่เคยมองกระจกหลังเลย **สำหรับมือใหม่" ท่านทราบหรือไม่ ! การขับช้าวิ่งเลนขวา แล้วทิ้งระยะห่างหลายกิโลฯ คนที่เค้ารีบก็แซงไม่ได้ เมื่อโดนจี้มากๆ ก็จะเกิดอาการลน อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหารถติดตามมามากมาย ฉะนั้น หากเราวิ่งเลนขวาอยู่ มองกระจกหลังมีรถคันที่เร็วกว่าตาม รีบหาจัวหวะให้ทางเค้าไปก่อน หากยังหาจังหวะเข้าไม่ได้ก็เปิดไฟขวาบอกกันหน่อย เมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็รีบเปิดทางให้เพื่อนทันที 7. ขับไป แชทไป โทรไป หรือ ... ข้อนี้ถึงแม้จะมีกฏหมายมารองรับ...ที่ว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ .....มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ ฯลฯ (๒๘) “ผู้ขับขี่” หมายความว่า ผู้ขับรถ .....มาตรา ๔๓ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ .......ฯลฯ .......(๙) ในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น .....มาตรา๑๕๗ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๓ (๙) ฯลฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ ๔๐๐ บาทถึง ๑,๐๐๐ บาท แต่ก็ยังมีหลายคนฝ่าฝืน มองข้ามความปลอดภัย ชมคลิปประกอบ..> คำถาม...> เราควรมองจกมองข้าง และกระจกมองหลัง บ่อยแค่ไหน ? > ตามมาตราฐาน ควรมองเป็นระยะๆ กันได้เลย ก่อนชะลอความเร็ว ก่อนเปลี่ยนเลน ก่อนเปิดไฟเลี้ยวก็ต้องมองอีกว่าเปลี่ยนได้เลยมั้ย (ไม่ใช่เปิดไฟเลี้ยวปุ๊บ ออกปั๊บ !) ตอนจะเปลี่ยนเลน จะออกร่วมถนนหลัก ยังต้องหันไปดูด้วย ไม่ใช่แค่เชื่อกระจกอย่างเดียว เวลาจอดติดไฟแดงก็ยังควรต้องคอยมอง เผื่ออาจมีรถเบรคแตก ถ้าเราเห็นแต่เนิ่นๆ อาจมีโอกาสเตรียมตัวได้ทัน ...ย้ำ ! เลยว่า ขับรถต้องมี "สติ" อยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจะเรียกว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แม้ถนนกับมือใหม่หัดขับอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชิน แต่ด้วยประสบการณ์ในการขับขี่ ก็จะสอนให้รู้ว่าการขับรถที่ถูกต้องอาจจะไม่ใช่เหมือนที่โรงเรียนสอนขับรถแนะนำเสมอไป... การใช้รถใช้ถนนให้ปลอดภัย ต้องไม่ตั้งอยู่บนความ "ประมาท" ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า -เราต้องไม่ขับไปชนเขา -ไม่ให้เขามาชนเรา และ-ไม่เป็นสาเหตุให้เขาชนกัน... ดูเหมือนง่ายแต่ผู้ขับขี่ก็ต้องศึกษาและใช้ประสบการณ์บนท้องถนนให้เป็นประโยชน์ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ ก็จะลดน้อยลง ขอบคุณที่อ่านจนจบ แล้วนำไปปฏิบัติ บางท่านอาจขาดตกข้อไหนไปรีบแก้ไขปรับปรุงยังทัน อย่างน้อยก็ได้เริ่มจากตัวเรา แล้วบอกต่อคนใกล้ตัว เพราะการใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่มักถูกมองข้าม จะช่วยสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับผู้ขับขี่ และเพื่อนร่วมทาง !!! ภาพที่เกี่ยวข้อง ............. คำค้นหา ............. มือใหม่ อุบัติเหตุ มือใหม่ต้องรู้ก่อนขับรถ ขับได้กับขับเป็น จราจร บทความที่เกี่ยวข้อง .............