Apr 30 , 2016 3 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ ใช้เกียร์ให้ทน ส่งผลเรื่องความประหยัด ปกติรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ จะมีความสิ้นเปลืองกว่ารถที่ใช้เกียร์ธรรมดาพอสมควร ยิ่งใช้ไม่ถูกวิธียิ่งทำให้ผลในเรื่องของความสิ้นเปลืองชัดเจนมากขึ้น มีหลายวิธีในการใช้งานที่จะทำให้เครื่องยนต์ และระบบเกียร์ มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น การอุ่นเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีมาก เพราะสามารถช่วยให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ลดการสึกหรอขณะเครื่องยนต์มีอุณหภูมิต่ำได้มาก เนื่องจากชิ้นส่วนของเครื่องยนต์นั้น ทำมาจากโลหะหลายๆ ชิ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหว จำเป็นที่จะต้องได้รับความร้อนระดับที่เหมาะสม ร่างกายคนเราก็เช่นกัน ต้องวอร์มร่างกายก่อนเล่นกีฬา จะได้ไม่เกิดอันตรายจากการออกกำลังกาย เช่น จุกเสียด, กล้ามเนื้ออักเสบ หรือฉีกขาด รวมถึงอาการหายใจ หรือการทำงานของหัวใจผิดปกติ แทนที่เราจะวอร์มอัพอยู่กับที่ เราก็เปลี่ยนมาใช้การเดินช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปจนถึงระดับการวิ่งปกติก็ได้ เช่นเดียวกับรถยนต์ เราต้องเลิกการวอร์มเครื่องอยู่กับที่ได้แล้ว นอกจากจะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมลพิษในอากาศด้วย การกระทำที่เหมาะสมในปัจจุบัน คือ เมื่อเครื่องยนต์ติดและไฟเตือนต่างๆ ดับลง ให้ออกรถได้เลย แต่ต้องแล่นด้วยความเร็วช้าๆ สักครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นเข็มแสดงความร้อนของเครื่องยนต์สูงขึ้นสักครึ่งหนึ่งของระดับความร้อนปกติ ก็สามารถเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้เรื่อยๆ การทำเช่นนี้เหมือนกับการวอร์มอัพด้วยการเคลื่อนที่ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้นจนถึงระดับปกติ จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการออกกำลังกาย เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ การวอร์มอัพลักษณะนี้เพียงพอที่จะยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องยนต์ได้แล้ว สิ่งสำคัญคือ ช่วยลดความสิ้นเปลืองและมลพิษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดู 3 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ 1. ไม่กระแทกคันเร่ง ตอนออกตัว อย่างแรกที่ต้องจำไว้ก็คือ รถกระบะประเภทนี้มีน้ำหนักตัวมาก โดยมากกว่ารถยนต์นั่งราวๆ ครึ่งตัน การที่จะออกตัวนั้น จำเป็นต้องใช้กำลังจากเครื่องยนต์มากพอสมควร การกดคันเร่งลึกๆ หนักๆ สามารถทำให้ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงได้ไม่ยากนัก แต่ผลที่ตามมา ก็คือ เรื่องของความสึกหรอที่จะเกิดมากขึ้นกว่าปกติ แม้ว่าตัวรถจะมีสมรรถนะสูงขึ้นก็ตาม การเร่งลักษณะที่ต้องการความฉับไวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก และระยะยาวนั้นมันจะเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ เนื่องจากชิ้นส่วนภายในนั้นมีความละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ มากมาย ... 2. ยิ่งบรรทุกหนัก ยิ่งต้องระวัง รูปแบบของตัวรถที่เป็นรถกระบะที่มีพื้นที่สำหรับบรรทุก ก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะการใช้งานบางครั้งต้องมีการบรรทุกสัมภาระบ้างไม่มากก็น้อย เฉลี่ยราวๆ 200-500 กก. เมื่อมีการบรรทุกหนักมากขึ้น การใช้คันเร่ง และตำแหน่งเกียร์ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะมีผลโดยตรงต่อการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในของระบบเกียร์ นอกจากการใช้คันเร่งอย่างนุ่มนวลแล้ว ต้องใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ และความเร็วตัวรถด้วย ใช้ช่วงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเกียร์ สำหรับการใช้งานปกติธรรมดานั้น อยู่ในช่วงรอบเครื่อง 1,800-2,500 รตน. การใช้รอบเครื่องสูงมากกว่านั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับการขับขี่ที่บรรทุกหนัก เพราะเป็นย่านที่เครื่องยนต์มีแรงบิดสูง เหมาะกับการฉุดลากน้ำหนัก จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังในการฉุดลากน้ำหนักของตัวรถสบายๆ ถ้าบรรทุกน้ำหนักมาก การออกตัวอาจจะใช้ตำแหน่งเกียร์ L2 หรือ L เช่นเดียวกับการขึ้นทางชันก็ได้ เพื่อเป็นการรักษารอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เพราะในตำแหน่งเกียร์ D นั้น อาจจะทำให้เกียร์เปลี่ยนตำแหน่งเสียก่อน ทำให้แรงบิดที่จะส่งไปที่ล้อลดลงไม่เพียงพอกับการฉุดลากน้ำหนักมาก การเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ต่ำนี้ ใช้เหมือนกับเวลาที่เราขึ้นหรือลงเขา เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนั้นต้องจำไว้ว่า เมื่อบรรทุกหนักมากต้องเหยียบเบาๆ เวลาออกตัวโดยใช้ตำแหน่งเกียร์ช่วย เมื่อรถเริ่มลอยตัวแล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วภายหลัง ซึ่งคุณสามารถใช้ความเร็วเดินทางปกติที่ 100-120 กม./ชม. ได้เหมือนเดิม เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงจังหวะที่ลอยตัวแล้ว ปัญหาหลักๆ ที่จะทำให้ระบบเกียร์เสียหาย เป็นจังหวะช่วงออกตัว และช่วงขึ้นทางชันเท่านั้น คลิ๊กอ่านเพิ่มเติม 3 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ สำหรับรถกระบะ และเอสยูวี 3. การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะน้ำมันเกียร์นั้นไม่เหมือนกับน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนั้น เราจะเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ คือ ใส่ไปเท่าไรก็เปลี่ยนออกเท่านั้น การจะเปลี่ยนยี่ห้อ หรือเกรดของน้ำมัน จึงไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะยาว ระบบเกียร์อัตโนมัตินั้นจะใช้น้ำมันเกียร์ในระบบทั้งหมดราวๆ 5-7 ลิตร แล้วแต่ขนาดของระบบเกียร์ แต่เวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แต่ละครั้งนั้น จะมีการเปลี่ยนครั้งละ 2-3 ลิตรเท่านั้น นั่นหมายความว่า ยังมีน้ำมันเกียร์เก่าในระบบมากกว่าครึ่งหนึ่ง การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์จึงมีความสำคัญมาก เพราะต้องเปลี่ยนชนิดเดียวกับที่ติดรถมาเท่านั้น ในคู่มือประจำรถจะมีการระบุถึงเกรดของน้ำมันเกียร์ว่าใช้เกรดใด การแบ่งเกรดน้ำมันเกียร์นั้น จะเรียกว่า DEXRON ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ DEXRON II, DEXRON III การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ข้ามยี่ห้อไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแต่ต้องดูว่ารถของคุณนั้นใช้ DEXRON II หรือ DEXRON III ต้องเลือกใช้เกรดเดียวกับน้ำมันเกียร์ที่ติดรถมา เพราะทั้ง 2 เกรดนั้นมีความแตกต่างในเรื่องของสูตร และประสิทธิภาพในการทำงาน ที่ส่งผลในเรื่องของความเสียหายในการใช้งานระยะยาว เพราะสูตรทางเคมีที่ต่างกันนั้น จะส่งผลให้ชิ้นส่วนสำคัญๆ เช่น ผ้าคลัทช์, ซีลยางต่างๆ เกิดการบวมล่อน หรือเกิดการแข็งกระด้าง ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว ระบบเกียร์ถูกออกแบบให้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ครั้งละ 2-3 ลิตรเท่านั้น บางท่านไม่เข้าใจกลัวว่าเกียร์จะไม่ทนทาน เวลาเปลี่ยนน้ำมันเกียร์จึงเน้นการเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ แม้ว่าจะใช้น้ำมันเกียร์เกรดเดิมก็ตาม ก็ยังส่งผลเสียหายกับชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ได้เหมือนกัน เพราะน้ำมันใหม่ทั้งระบบนั้นจะมีความเข้มข้นของสารเคมีสูงมาก มีผลทำให้ซีลยางในระบบเกิดอาการแข็งกระด้างเร็วกว่าปกติ รวมทั้งแผ่นคลัทช์อาจจะมีการบวมล่อนเร็วกว่าปกติ แถมค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายและล้างระบบเกียร์นั้นอยู่ราวๆ 3,000-4,000 บาท นอกจากจะแพงแล้ว ยังทำให้อายุการใช้งานลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ดังนั้นน้ำมันเกียร์เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าของรถต้องทำใจ เพราะไม่ควรเปลี่ยนไปใช้ของที่ดีกว่าคู่มือระบุไว้ และไม่ควรเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ นอกเหนือจากมีการซ่อมใหญ่ของระบบเกียร์ ในรถที่มีการบรรทุกหนัก หรือใช้ในเส้นทางชันเป็นประจำ ควรเปลี่ยนถ่ายเร็วขึ้นกว่าปกติตามความหนักหนาในการใช้งาน และขอย้ำว่าการเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ และใช้น้ำมันสำหรับล้างทำความสะอาดเข้าไปหมุนวนนั้น จะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานที่สั้นลงมาก ...คลิกอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง เรื่องต้องรู้ ของเกียร์ซีวีที / น้ำมันเกียร์ซีวีที ถ้าไม่ใช่ พังแน่ ! ฉะนั้น...รถทุกประเภทก็สามารถทำได้ คือ เมื่อเครื่องสตาร์ทเครื่องยนต์และไฟเตือนต่างๆ ดับลง ให้ออกรถได้เลย แต่ต้องแล่นด้วยความเร็วช้าๆ สักครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นเข็มแสดงความร้อนของเครื่องยนต์สูงขึ้นสักครึ่งหนึ่งของระดับความร้อนปกติ ก็สามารถเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้เรื่อยๆ การทำเช่นนี้เหมือนกับการวอร์มอัพด้วยการเคลื่อนที่ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้นจนถึงระดับปกติ จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการออกกำลังกาย เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ การวอร์มอัพลักษณะนี้เพียงพอที่จะยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องยนต์ได้แล้ว สิ่งสำคัญ คือ ช่วยลดความสิ้นเปลืองและมลพิษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่มา 3 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ / 4 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ AUTOINFO Online ภาพที่เกี่ยวข้อง ............. คำค้นหา ............. เกียร์อัตโนมัติ วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ น้ำมันเกียร์ บทความที่เกี่ยวข้อง .............