Oct 4 , 2017 ความผูกพันระหว่างรถยนต์กับ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ครั้งยังทรงพระเยาว์ เรื่องเล่าจาก นพ. สมคนึง ตัณฑ์วรกุล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ในรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐในทุกๆ ด้าน บทความในเดือนอันแสนทุกข์ระทมนี้ จะเฉลิมพระเกียรติรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ในพระปรีชาชาญด้านรถยนต์ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยที่เฉียบแหลมในการเลือกรถยนต์ทรงใช้ ทรงงาน และนำไปสู่การเสด็จเยี่ยมเหล่าพสกนิกรทั่วประเทศ ยิ่งกว่านั้น ยังทรงพระปรีชาในการใช้รถยนต์เพื่อประกาศศักดิ์ศรีของชาติไทย เพื่อส่งเสริมความเป็นชาติ ความเป็นปึกแผ่นของชาวไทย ทั้งยังทรงใช้รถยนต์สอนพสกนิกรในปรัชญาความพอเพียง ด้วยการเลือกรถยนต์ที่ทรงใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ตลอดรัชสมัยอันยาวนาน มีรถยนต์ชั้นยอดเยี่ยมของโลกหลายรุ่น ได้รับสนองงานแก่พระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ราชรถเมื่อทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์ และสมเด็จพระบรมราชชนนี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงผูกพันกับรถยนต์ ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ มีแรงบันดาลพระทัยมาจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี และการท่องเที่ยวโดยรถยนต์ในภูมิประเทศแถบที่ประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ เขตติดกับประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงโปรดเมืองโลซานน์ด้วยเคยโดยเสด็จ สมเด็จพระบรมราชชนก มาก่อน โลซานน์เป็นเมืองที่มีอากาศดี รวมถึงเป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษา จึงเหมาะกับการเป็นที่พำนักของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ Delahaye 134 Delahaye 134 รถ เดอลาเฮย์ (Delahaye) เป็นรถยนต์ชั้นสูง ผลิตจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีรูปทรงสวยงาม เป็นที่นิยมในสวิทเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 เริ่มสนพระทัยรถ เดอลาเฮย์ จากพระประสบการณ์การท่องเที่ยวทางรถยนต์เมื่อทรงพระเยาว์นี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์ และพระบรมราชชนนี ประพาสในแบบส่วนพระองค์ด้วยรถ เดอลาเฮย์ และ ซาล์มซง เอส 4 (Salmson) โดยบแรนด์หลังนั้นถือว่าเป็นรถเทคนิคสูงจากผู้ผลิตเครื่องบินและรถยนต์แห่งบูโลนญ์ ประเทศฝรั่งเศส มีรูปร่างเรียบง่าย หรูหราน้อยกว่า เดอลาเฮย์ Delahaye 134 Salmson S4 Berline รถทรงองค์ต่อมาเป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ นืร์บวร์ก 500 (Mercedes-Benz Nürburg 500) (คันในภาพเป็นคันที่ทรงใช้จริง) รถยนต์พระที่นั่งที่รัฐบาลไทยจัดถวายเพื่อให้สมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 8 โดย เมร์เซเดส-เบนซ์ นืร์บวร์ก 500 จะเป็นแชสซีส์รุ่นรองลงมาจาก เมร์เซเดส-เบนซ์ 770 เค กรอสเซร์ (Mercedes-Benz 770K Grosser) แต่ก็ยังถือว่าเป็นรถที่ใหญ่โต และโออ่ามาก ทั้ง 3 บแรนด์ เป็นราชรถขณะทรงพำนักในสวิทเซอร์แลนด์ รถชั้นเยี่ยมอย่าง เดอลาเฮย์ และเมร์เซเดส-เบนซ์ ในกาลต่อมาจะเป็นรถทรงในช่วงต้นรัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ที่ชาวไทยยุคกึ่งพุทธกาลรู้จักกันดี รัชกาลที่ 8 กับ Mercedes-Benz Nürburg 500 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จไปยังสวิทเซอร์แลนด์นั้น ได้ทรงรถหลวงในประเทศไทย ที่สืบทอดมาจากรัชกาลก่อนๆ มาบ้างแล้ว เช่น วันเดอเรอร์ (Wanderer) ตอนเดียว/เฟียต ติโป 101 (Fiat Tipo 101) ตอนเดียว ,เดมเลอร์ 25/45 เอชพี (Daimler 25/45 HP) เพียงแต่จะกล่าวถึงเฉพาะรถทรงที่ใกล้ชิดเมื่อประทับอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์เป็นหลัก ยุวราชา เมื่อทรงรถโดยพระองค์เอง เมื่อทรงเจริญพระชันษา ได้ทรงขอพระราชทานอนุญาตจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี เพื่อทรงซื้อ เฟียต โตโปลีโน (Fiat Topolino) เพราะ “…ดู ตลก และน่ารักดี” โดยมี พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภานุเดช นักแข่งเจ้าดาราทอง ผู้มีชื่อเสียงทั่วยุโรปถวายการฝึกขับรถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์โดยเสด็จสมเด็จพระราชชนนี และพระพี่นางเธอ ไปชม พระองค์เจ้าพีระ แข่งในนาม พ. พีระ ในการแข่งขัน (Prix de Berne ปี 1936) ตั้งแต่ครั้งก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 Fiat 500 Topolino หรือ เฟียตหนู ต้นตระกูล Fiat 500 Cinquecento พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ประทับติดกับ รถแข่ง Maserati 4CLT ของพระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช ในการแข่งรถช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเสวยราชย์เป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในรัชกาลที่ 9 แล้ว และเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิทเซอร์แลนด์ ได้ทรงซื้อรถ เดอลาเฮย์ 135 เอม (Delahaye 135M) สปอร์ท 2 ประตูเปิดประทุนสีแดง รถพระที่นั่งองค์นี้เป็นรถพระที่นั่งองค์สำคัญที่ทรงใช้เมื่อแรกพบ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และทรงนำกลับมาใช้ในประเทศไทยด้วย เป็นรถที่ทรง เพื่อไปตรวจเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดบ้านโป่ง โดยมี สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จไปเพียง 2 พระองค์ ขบวนติดตามของข้าราชบริพาร เร่งเดินทางตามหลัง แต่ไปทันรถ เดอลาเฮย์ ที่นครปฐม เมื่อล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์หยุดเสวยพระกระยาหารกลางวัน 1949 Delahaye 135M ตัวถัง Cabriolet โดย อองรี ชาปรอง (Henri Chapron) AMILCAR C.O. หลังจากเสด็จนิวัติพระนคร ได้ทรงสั่งซื้อ เดอลาเฮย์ 135, 178 และ 180 เป็นรถพระที่นั่งส่วนพระองค์อีกหลายคัน ทั้งแบบ 4 ประตู, 4 ประตูลีมูซีน 6 หน้าต่าง, แบบแวกอน และรถ AMILCAR C.O. ที่ใช้เครื่องยนต์ SIMCA 1,200 ซีซี เกียร์ไฟฟ้า ที่ดูคล้ายกันอีกด้วย เสด็จฯ ตรวจไฟไหม้ตลาดบ้านโป่ง เป็นการด่วนส่วนพระองค์ด้วยรถ Delahye เพราะแล่นเร็วทันเหตุการณ์ 1953 Delahaye 180 ตัวถัง 4 ประตู ราชรถหลวง (หลัก) Daimler DE36 ตัวถัง Hooper ส่วนราชรถหลักในงานพระราชพิธี เป็นรถจากประเทศอังกฤษ ได้แก่ เดมเลอร์ ดีอี 36 (Daimler DE36) ตัวถังโดย ฮูเพอร์ (Hooper) แบบเดียวกับพระราชินีอังกฤษ และผู้นำของนานาประเทศในยุคนั้น และมี แจกวาร์ มาร์ค 7 เอม (Jaguar Mk VII m) และ อาร์มสตรอง ซิดเดอลีย์ แซพไฟร์ (Armstrong Siddeley Sapphire) เป็นราชรถรอง ในระยะนี้ ทรงสนพระทัยในรถอเมริกัน ตามยุคสมัยเช่นเดียวกับพระองค์เจ้าพีระ ผู้เป็นองค์ที่ปรึกษา ทรงซื้อ แคดิลแลค ฟลีทวูด (Cadillac Fleetwood) ซีรีส์ 62 4 ประตู ปี 1955 เป็นรถส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ร.8) เสด็จฯ ในการแข่งรถ Prix de Berne ปี 1936 และ ในหลวง ร.9 ประทับบนล้อรถแข่ง ออโต้ ยูเนียน ไทป์ ซี (Auto Union Type C) ประคองโดย Bernd Rosemeyer นักแข่งกรังด์ปรีซ์ผู้โด่งดัง และมีพระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดชตามเสด็จฯ 1952 Delahaye 178 ตัวถังซาลูนโดย อองรี ชาปรอง (Henri Chapron) 1953 Delahaye 178 เดิมเป็นตัวถังซาลูนโดย อองรี ชาปรอง (Henri Chapron) ดัดแปลงเป็นแวกอนติดซันรูฟโดย บริษัท ไทยประดิษฐ์ AMILCAR C.O. ที่ใช้เครื่องยนต์ SIMCA 1,200 ซีซี เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชการที่ 9 ได้ทรงออกเยี่ยมพสกนิกรไปทั่วทุกภาค เมื่อเสด็จออกต่างจังหวัดอันห่างไกล จะทรงราชรถพลังสูง ที่มีกำลังโดดเด่นในยุคนั้น ได้แก่ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 (Mercedes-Benz 300) แบบเดียวกับที่รู้จักกันดีในชื่อ “เบนซ์อาเดนนาวเออร์”(Benz Ardenauer) ที่ทรงมีครบทุกรุ่น ทั้ง 300 (มักเรียกกันเองว่า 300 “เอ”), 300 บี, 300 ซี และ 300 ดี ที่ใช้เครื่องยนต์หัวฉีด อันเป็นอุปกรณ์ล้ำยุคในเวลานั้น ธงมหาราชสะบัดพลิ้วหน้ารถ Mercedes-Benz 300d เมื่อคราวเสด็จฯ ภาคใต้ เหตุการณ์อันเป็นตำนานที่เสด็จ อ. วังทอง จ. พิษณุโลก และ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช ด้วยราชรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 ยังได้รับการกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ ระหว่างเสด็จ อ. วังทอง จ. พิษณุโลก ราชรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เกิดเหตุท่อไอเสียหลุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงประทับอยู่กับขบวนข้าราชบริพารระหว่างเจ้าหน้าที่ทำการซ่อมแซมกลางป่าเขา โดยมิได้ทรงปริวิตกใดๆ ภาพที่คุ้นเคย ในกรอบหน้าต่างของ เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 ดี ในภาพเมื่อเสด็จ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช เสด็จไปท้องถิ่นที่ห่างไกลด้วย เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เมื่อเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นทุรกันดารมากขึ้น จึงทรงมีความจำเป็น ต้องใช้งานรถ จีพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทรงโปรดใช้ เดอลาเฮย์ วีแอลอาร์ (Delahaye VLRD) แบบ จีพ, แลนด์ โรเวอร์ (Land Rover) และ เรนจ์ โรเวอร์ (Range Rover) หลายซีรีส์, จีพ ทั้งแบบ วิลลีส์ 1/4 ตัน (Willy's ¼ ) ของอเมริกัน และ แวกอเนียร์ (Wagoneer) อันเป็นบรรพบุรุษของรถ เอสยูวี ชั้นหรูหรา ในยุคปัจจุบัน ทรง Jeep Willy's ¼ ที่หัวหิน รถในหลวงทรง Delahaye Jeep ที่ห้วยมงคล หัวหิน รถในหลวง Jeep Wagoneer ทรงบุกป่า และลุยน้ำลึก ประทับทรงงานข้าง Land Rover Series 3 ภาพที่จดจำของปวงชนชาวไทย รถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อเหล่านี้ทำให้ทรงเยี่ยมเยือนดูแลเหล่าพสกนิกร ได้อย่างทั่วถึง ทุกเขตแคว้นในพระราชอาณาจักร ทั้งบนทางที่ไม่เป็นถนน ทั้งบนบก และในเส้นทางที่ต้องทรงขับลุยน้ำลึก ภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รัก ทรงราชรถ จีพ บุกป่าฝ่าดง ลุยลำธาร ปีนขึ้นภูเขา ต่างประทับอยู่ในความทรงจำของปวงชนชาวไทย เป็นเวลานานหลายสิบปี กลางภาพ เสด็จฯ โดยราชรถ Range Rover MK I 3 ประตู กระจังหน้าเจาะตะแกรง Delahaye Jeep พระราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศทั่วโลก และรถพระที่นั่งในช่วงกลางรัชสมัยที่เจริญรุ่งเรืองนี้ ก็มีความพิเศษ เป็นที่น่าจดจำ พระบารมีแผ่ไพศาลเป็นที่ชื่นชมของชาวไทย และชาวโลก เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล กัลล์วิง (Mercedes-Benz 300SL Gullwing) “ซูเพอร์คาร์คันแรกของโลก” ที่มีจำนวนผลิตเพียง 1,400 คัน จึงได้รับคัดเลือกจากรัฐบาล เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อพระราชทานแด่พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ อย่างสมพระเกียรติยศยิ่ง ในปี 2497 ที่ต่อมาได้เข้าคู่กับสปอร์ทรุ่นเล็ก เมร์เซเดส-เบนซ์ 190 เอสแอล สีน้ำเงิน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป 5 ประเทศ ในปี 2503 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำกลับมาใช้ในพระราชอาณาจักรไทย Mercedes-Benz 300SL Gullwing ส่วนพระองค์ หมุดดุมล้อเดี่ยวแบบ Rudge อย่างรถแข่ง รถสปอร์ทในตระกูล เอสแอล-สปอร์ท ไลค์ ทั้ง 2 รุ่น มีรูปร่างคล้ายคลึงกันเป็นดั่งรถพี่น้อง เสมือนเพชรยอดมงกุฎของวงการรถเยอรมนี และพบได้ในทุกๆ คอลเลคชันระดับโลก ในช่วงดังกล่าว รถพระที่นั่งส่วนพระองค์ 4 ประตู ยี่ห้อเดียวกันได้เปลี่ยนเป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ 600 ใช้ระบบรองรับถุงลม ควบคุมอุปกรณ์ในรถด้วยแรงดันน้ำมันไฮดรอลิค มี 2 องค์ ได้แก่ 600 LWB Pullman Limousing Landaulet (ฐานล้อยาวพิเศษ ที่นั่ง 3 ตอน มีฉากกระจกกั้นระหว่างห้องโดยสารและห้องพลขับ ปรับกระจกขึ้น/ลงด้วยแรงดันน้ำมันไฮดรอลิค หลังคาส่วนหลังเป็นผ้าใบ เปิดประทุนได้) และ 600 SWB (2 ตอน ฐานล้อมาตรฐาน) อันเป็นขั้นสูงสุดของรถยนต์นั่งที่ เมร์เซเดส-เบนซ์ ได้เคยผลิตออกมา Mercedes-Benz 190SL ที่ในหลวงทรงขับเมื่อคราวเสด็จฯ เยือนยุโรปห้าประเทศ ปี พศ. 2503 Mercedes-Benz 600 LWB Pullman Landaulet (ขวา) และ 600 SWB (ซ้าย) และลำดับถัดไป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหา รถพระที่นั่งจากอังกฤษ โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม ตัวถัง Limousine (ตัวถัง 3 ตอน ฐานล้อยาวพิเศษ มีฉากกระจกกั้นระหว่างห้องโดยสารและห้องพลขับ) โดย Mulliner Park Ward อันงามสง่า เป็นรถพระที่นั่งองค์หลักใช้ในงานราชพิธี เป็นรถรุ่นเดียวกับที่ราชสำนักเซนต์เจมส์ ใช้ถวายงานสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งจักรภพอังกฤษ รถพระที่นั่ง Rolls-Royce Phantom VI ตัวถัง Limousine โดย Mulliner Park Ward รถตรวจพลสวนสนาม Cadillac Eldorado Biarritz ในปี 2504 กองทัพไทยได้เริ่มให้มีการจัดการสวนสนามทหารรักษาพระองค์ขึ้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในลักษณะขบวนยานยนต์ (Motorcade) ที่นานาประเทศได้จัดถวาย เพื่อถวายการรับเสด็จเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนรัฐต่างๆ อย่างเป็นทางการ การตรวจพลสวนสนามทหารรักษาพระองค์นี้ ในเวลาต่อมาได้จัดเป็นประจำทุกปีอย่างสวยงามยิ่งใหญ่ จนสืบทอดเป็นประเพณีต่อมายาวนานนับถึงบัดนี้กว่า 50 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะองค์จอมทัพไทย ทรงตรวจพลสวนสนามบนรถ แคดิลแลค เอลโดราโด เบียร์ริทซ์ 2 ประตู เปิดประทุน รถตรวจพลสวนสนามองค์นี้ได้รับสนองงานอยู่นานหลายปี ก่อนจะสลับด้วยรถพระที่นั่ง โรลล์ส-รอยศ์ โคร์นีช ll และ III คอนเวอร์ทิเบิล จวบจนถึง แคดิลแลค ดีทีเอส 4 ประตู สั่งตัวถังพิเศษ เปิดประทุน และทดรอบเกียร์เพื่อแล่นช้าเป็นพิเศษ รถตรวจพลสวนสนาม Rolls-Royce Corniche เปิดประทุน รถตรวจพลสวนสนาม Cadillac DTS 4 ประตู ตัวถังเปิดประทุน ทดรอบเกียร์เพื่อให้แล่นช้าเป็นพิเศษ Mercedes-Benz 600 Pullman (ตัวถังช่วงยาวแบบโบกี้รถไฟพูลแมน) Landaulet (หลังคาส่วนหลังเป็นประทุนผ้าใบ เปิดประทุนได้) Mercedes-Benz 600 SWB ฐานล้อมาตรฐาน Cadillac Eldorado Biarritz สองประตู คอนเวอร์ติเบิล รุ่นปี 1960 สดุดีมหาราชา ฝากระโปรงของ จีฟ กแรนด์ แวกอเนียร์ เป็นโต๊ะทรงงานในพื้นที่ ทรงรถ เดอฮอาเลย์ 135 เอม กาบริโอเลต์ ราษฎรถวายเสื่อ ที่ประตูรถพระที่นั่ง เดอฮาเลย์ โมเดล 178 ขณะทรงรถ โตโยตา ปรีอุส รุ่นแรก เอกซ์ดับเบิลยู 10 ในช่วงปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเปลี่ยนรถพระที่นั่งหลักเป็น มายบัค 62 สืบทอดจากที่ทรงใช้งาน เมร์เซเดส-เบนซ์ 600 รถ มายบัค เป็นบแรนด์ขั้นสูงสุดของเครือ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ (Daimler Chrysler) ในขณะนั้น ด้วยรถรุ่นนี้มีฐานล้อยาวเป็นพิเศษ คือ สามารถประทับเอนได้เหมาะแก่พระพลานามัย โดยทรงมีรถพระที่นั่ง มายบัค 62 ถึง 2 องค์ และเมื่อทรงเจริญพระชันษามากขึ้นอีก รถพระที่นั่งจึงเปลี่ยนเป็น โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ วีอาร์ 6 เพื่อสามารถทรงงานในรถได้สะดวกและมีพื้นที่เพียงพอทรงพระสำราญ โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ พระที่นั่งองค์ท้ายสุด มีสีเงินคาดแถบสีน้ำเงิน ได้รับพระราชทานนามว่า รถ “007” เนื่องจากมีการติดตั้งอุปกรณ์ทรงงานและถวายความสะดวกสบายครบถ้วนทั้งคัน รถพระที่นั่ง 007 โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ รถพระที่นั่ง โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ วีอาร์ 6 ตลอดรัชกาล แม้พระองค์ท่านทรงศึกษาในด้านรถยนต์ และมีราชยานยนต์ชั้นดีเยี่ยมของโลกมากมาย แต่ด้วยพระองค์ทรงเป็นต้นตำรับ “ปรัชญาแห่งความพอเพียง” จึงมีรถทรงลำลองในแบบทั่วไปดังเช่นพสกนิกรใช้เช่นกัน เมื่อทรงประทับที่หัวหิน ก็มีผู้พบเห็นพระองค์ทรงรถญี่ปุ่นคันเล็กๆ เป็นการส่วนพระองค์ หรือในทุกปี หลังจากพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันที่ 4 ธันวาคม ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ก็จะได้เห็นพระองค์ทรงรถแบบต่างๆ กัน ทั้งรถญี่ปุ่นขนาดเล็ก ได้แก่ โตโยตา ปรีอุส เจเนอเรชัน 1/โตโยตา โซลูนา 1.5 (ชื่อรุ่นเป็นอักษรไทย) ฮอนดา แอคคอร์ด หรือรถแบบที่เห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป เป็นการลำลองเพื่อแสดงถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดโยตา โซลูนา 1.5 ทรงพระราชทานพระราชดำริ รถที่เหมาะสมกับประเทศไทย ติดตั้งเครื่องยนต์ที่สามารถปรับรับกับสภาพน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร นอกจากนั้น ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทรงซื้อรถหลายบแรนด์ หลายรุ่น ในช่วงก่อนเสด็จเข้าพักรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช ยังทรงซื้อ อีซูซุ มิว-7 ไว้ใช้ในกิจการส่วนพระองค์ถึง 10 คัน เพื่อส่งเสริมรถที่สร้างในประเทศ หลังจากเหตุการณ์เสด็จประพาสสวิทเซอร์แลนด์ ในปี 1936 ครบ 74 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงติดตามการแข่งรถกรองด์ปรีซ์อย่างใกล้ชิด ตอนปลายรัชกาล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ มาร์ค เวบเบอร์ นักแข่ง ฟอร์มูลา วัน พร้อมรถแข่ง รุ่น อาร์บี 6 จากทีม เรดบูลล์ เรซิง ที่มีชาวไทยเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของทีมได้เข้าเฝ้าถวายรายงานเป็นการส่วนพระองค์ ทำให้ เวบเบอร์ ได้เป็นนักขับ ฟอร์มูลา วัน อีกคนหนึ่งที่ได้เข้าเฝ้า และทรงมีพระปฏิสันถารด้วยอย่างใกล้ชิดดังเช่นที่ ฮันส์ ชตุค ได้เข้าเฝ้าที่ Prix De Berne เมื่อเกือบ 80 ปีก่อน เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตได้ย้อนกลับมาบรรจบในรอบนี้ แสดงถึงความสนพระราชหฤทัยในกีฬาแข่งรถอย่างจริงจัง สมเป็นมหาราชนักกีฬาอย่างที่สุด ท้ายที่สุดนี้ ขอแสดงภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับรถยนต์ที่เป็นภาพสำคัญตลอดรัชกาล เพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระราชาที่ทรงโปรดรถยนต์ รำลึก ถึงพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย น้อมสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ------------------------------ เรื่องโดย นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล, ราชยานยนต์โบราณแห่งสยาม และสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย www.autoinfo.co.th เครดิตภาพ Thailand image และ rid.go.th / car.kapook.com ภาพที่เกี่ยวข้อง ............. คำค้นหา ............. รถยนต์พระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่9 ฉันเกิดรัชกาลที่9 ธ สถิต ในดวงใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ สถิตในดวงใจตราบนิรันดร์ KingBhumibol ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป บทความที่เกี่ยวข้อง .............