Sep 8 , 2017 ทำอย่างไร ไม่ให้ถูกฟ้าผ่า ? ช่วงนี้มักได้ยินข่าว “ฟ้าผ่า” กันอยู่บ่อยๆ เลยขอนำบทความนี้มาฝากเพื่อเป็นความรู้ และจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดกับเรา ลองมามาอ่านบทความนี้กันเลย... เมื่อเราขับรถอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ขณะฟ้าคะนอง โดยทั่วไปเข้าใจกันว่า ฟ้าจะผ่าได้ขณะฝนกำลังตกเท่านั้น ไม่จริงนะ ถ้าเมฆอยู่ค่อนข้างต่ำ และมีประจุไฟฟ้า หรือความต่างศักย์สูงพอ ก็เกิดขึ้นได้ แม้ฝนยังไม่ตก หรือหยุดแล้ว การป้องกันอันตรายที่จะแนะนำในที่นี้ เป็นการป้องกันอันตรายต่อชีวิตของเรา ขณะที่ขับรถ หรือโดยสารรถ ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่ารถเท่านั้น ถ้าต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกฟ้าผ่ารถของเราโดยตรง ก็ต้องขับรถเข้าไปใต้ที่กำบังมิดชิด เช่น อาคารจอดรถ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็หมดความเสี่ยง แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ เช่น กำลังขับอยู่บนถนนหลวง หรือเป็นผู้โดยสารก็ตาม และมีรถอื่นร่วมใช้เส้นทางอยู่มากมาย ความเสี่ยงจะต่ำมาก พอรับได้ และคงไม่ถึงกับต้องล้มเลิกภารกิจ หากจะมีอันตราย ก็อาจจะเป็นด้านอื่น เช่น ฝนตกหนักมาก จนมองเห็นได้ในระยะแค่ไม่กี่เมตร บางครั้งหนักระดับที่ใบปัดน้ำฝนสภาพดีของรถรุ่นใหม่ที่จังหวะเร็วสุด ทำงานได้เร็วมาก ก็ยังปัดไม่ทัน ถ้าต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤตระดับนี้ ควรหาที่ที่เหมาะเพื่อหยุดขับแต่ต้องเป็นที่ๆ ปลอดภัยจริงๆ ไม่ใช่แค่หยุดข้างทาง มิฉะนั้นอาจถูกคันอื่น ที่ชุดปัดน้ำฝนไม่ดีพอ โดยเฉพาะรถบรรทุกชนท้ายได้ อันตรายที่สุด ถ้าไม่พบที่หยุดที่ปลอดภัย ฝืนใจขับต่อยังดีกว่ามาก ทำไม ฟ้า ไม่ผ่า “รถ” ? กลับมาเรื่องฟ้าฝ่ากันต่อ รถของเราจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้าฝ่าค่อนข้างมาก ก็ต่อเมื่ออยู่กลางแจ้ง ที่ฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าแลบฟ้าร้อง อย่างรุนแรง และที่สำคัญ ในระยะใกล้เคียงไม่มีรถอื่น มาช่วยเฉลี่ยรับความเสี่ยง คนไทยเราชอบเชื่อคำเล่าลือ ที่ส่งต่อกันมา หลายเรื่องแพร่ไปได้รวดเร็วทั่วประเทศ แล้วอาจอยู่ยืนยงได้หลายชั่วอายุคนอีกด้วย ถ้าอิงความเชื่อในแนวที่ว่านี้ ก็จะบอกตัวเองว่า รถของเราทำจากโลหะ ซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้า จึงมีความเสี่ยงสูง ที่จะ “ล่อ” ให้เมฆคายประจุไฟฟ้าลงดิน โดยผ่านรถและถ้าเป็นเช่นนี้ ตัวเราที่อยู่ในรถจะไปเหลืออะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตรงกันข้ามทั้งหมด งานวิจัย และทดลองทางวิชาการของสถาบันระดับสูงด้านเทคนิคในต่างประเทศ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตัวนำไฟฟ้า เช่น โลหะทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีความเป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นเยี่ยม เช่น เงิน ทองคำ หรือทองแดง ไม่ได้มีส่วน “ล่อ” ให้ฟ้าผ่า ได้มากไปกว่าวัตถุอื่นที่เป็นตัวนำไฟฟ้าที่เลว หรือแย่มาก เช่น ไม้ แต่ขึ้นอยู่กับระยะทางมากกว่า การทดลองแสดงให้เห็นชัดว่า แท่งไม้และแท่งทองแดง ที่อยู่ห่างจากวัตถุที่มีความต่างศักย์สูง (เปรียบเสมือนก้อมเมฆในสภาวะจริง) ในระยะเท่ากัน มีโอกาสถูกคายประจุไฟฟ้าใส่ (ก็คือถูก “ผ่า” ในความหมายของเรา) พอๆ กัน ในการทดลองปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง ปรากฏว่าแท่งไม้กับแท่งทองแดง ถูก “ฟ้าผ่า” แบบสุ่ม (Random) ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ในระดับที่เรียกว่า เท่ากันในทางสถิติ แต่ถ้ารถของเราอยู่โดดๆ ในที่โล่งโอกาสถูกฟ้าผ่าก็ยังมีอยู่พอสมควรอยู่ดี (หมายถึงในสภาวะที่เอื้อ) ประเด็นถัดไปก็คือ ถ้าเรายังนั่งอยู่ภายในขณะรถถูกฟ้าผ่า จะตายหรือเกือบตายไหม ? และควรหนีออกมาอยู่ที่อื่นนอกรถหรือไม่ ? ขอตอบคำถามแรก คือ ไม่ตาย ไม่เจ็บ และไม่เป็นอะไรเลย ถ้าปฏิบัติตนถูกต้อง นอกจากจะไม่เสี่ยงอันตรายแล้ว รถของเรายังเป็นสิ่งคุ้มภัย หรือที่หลบภัยที่ดีที่สุด และดีจริงๆ ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าอีกด้วย การที่ตัวถังของรถถูกสร้างจากโลหะที่เป็นตัวนำไฟฟ้า และยังมีรูปทรงเป็นโครงปิด (ไม่จำเป็นต้องทึบ) ล้อมรอบตัวเราด้วยนั้น ทำให้มันมีสภาพเข้าข่ายเดียวกับ “กรงฟาราเดย์” (Faraday Cage) ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) ที่เป็นทั้งนักเคมี และนักฟิสิคส์ ชาวอังกฤษ ซึ่งค้นพบเมื่อ คศ. 1836 ว่า ห้อง หรือกล่องทรงปิด ที่ทำจากวัสดุที่เป็นตัวนำไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นแผ่นทึบ หรือเป็นตะแกรง หรือตาข่าย (จึงเป็นที่มาของชื่อ “กรงฟาราเดย์”) สามารถป้องกันสนามไฟฟ้าได้ รถของเราซึ่งมี เสาหลังคา หรือเสาหน้าต่าง และแผ่นหลังคา ทำจากโลหะ จึงมีคุณสมบัติเข้าข่ายในการเป็น กรงฟาราเดย์ เช่นเดียวกัน ขออธิบายแบบคร่าวๆ พอให้เห็นภาพ ทันทีที่ผิวด้านนอกของกรงได้รับประจุ เช่น ประจุบวก มันจะดูดประจุลบในเนื้อของกรงซึ่งเป็นโลหะให้วิ่งมาหามันด้านตรงข้าม หรือด้านที่ไกลจากจุดที่ถูกป้อนประจุบวก จึงขาดอีเลคทรอนไป ทำให้มีประจุเป็นบวก แต่ทั้งหมดที่ว่านี้ เกิดขึ้นที่ผิวของกรง โดยรวมแล้ว ประจุบวก และลบของกรงยังคงมีค่าเท่ากัน มีการแยกขั้วกันเฉพาะที่ผิวนอกเท่านั้น ผิวด้านในของกรงจึงยังมีความเป็นกลางอยู่ จึงไม่เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้าที่จะไหลผ่านตัวเราให้เกิดอันตรายได้ เรียกชื่อเป็นทางการว่า Skin effect ส่วนคำถามที่ 2 นั้นห้ามเด็ดขาด ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ตัวเราก็เปรียบเสมือนท่อนไม้ ในงานวิจัย ถึงจะไม่ถือร่ม ไม่มีโลหะอยู่ที่ตัว ถ้าไปเดิน หรือยืนอยู่ในที่โล่ง ในสภาวะที่เอื้อ โอกาสถูกฟ้าผ่าตายมีสูง นักกีฬากอล์ฟก็ควรระวังให้มาก เลิกความเชื่อจากคำเล่าลือเรื่องโลหะที่ตัว หรือใกล้ตัวไปได้เลย การไปหลบอยู่ใต้เพิง หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ก็อันตรายเช่นเดียวกัน ใครอยากพิสูจน์ และมีความรู้ความเข้าใจเรื่องไฟฟ้าเพียงพอ ลองปล่อยไฟฟ้าให้กับกรงนกดู นกที่เกาะคอนอยู่กลางกรง จะไม่ถูกไฟดูดเด็ดขาด แต่การถูกฟ้าผ่ารถที่เรานั่งอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกรงนกกับแรงเคลื่อนไฟฟ้าตามบ้านแค่ 220 โวลท์ เพราะ “สายฟ้า” ที่ “ฟาด” หรือผ่ารถของเรานั้น มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็น 100,000 โวลท์ กับกระแสไฟฟ้าประมาณ 50,000 แอมแปร์ และรถของเราก็ไม่ใช่ กรงฟาราเดย์ ที่สมบูรณ์แบบตามทฤษฎี ... ที่นี้ ทำอย่างไร ไม่ให้ถูกฟ้าผ่า ? เราต้องมีการปฏิบัติตนเป็นพิเศษ เพื่อเผชิญกับมันอย่างปลอดภัย ดังนี้... -ต้องหยุดขับ -หาที่หยุดพักที่ปลอดภัย -ดับเครื่องยนต์ - ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่าง -ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด - เปิดไฟฉุกเฉิน (ถ้าเห็นสมควร ) -ไม่เอามือ หรือส่วนใดไปสัมผัส กับโลหะ หรือแม้แต่ที่ไม่ใช่โลหะ ที่ต่อเชื่อมกับตัวถังรถ พวงมาลัยก็ห้ามจับ -กุมมือหนึ่งมือใดด้วยมืออีกข้างไว้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านทรวงอก (หัวใจ) - แง้มกระจกไว้ได้ ไม่มีปัญหา - รออย่างสงบจนกว่าสถานการณ์จะคลีคลายระดับหมดความเสี่ยง เรียบเรียงจากนิตยสาร "ฟอร์มูลา" / autoinfo.co.th คอลัมน์: รอบรู้เรื่องรถ ภาพที่เกี่ยวข้อง ............. คำค้นหา ............. ทำไมฟ้าไม่ผ่ารถ ฟ้าผ่า บทความที่เกี่ยวข้อง .............