ไม่ควรเด็ดขาด ! "ไฟฉุกเฉิน" ขอย้ำ ! กันบ่อยๆ เลย เพราะทุกวันนี้ยังมีคนใช้ผิดๆ กันอยู่ ...เชื่อว่าผู้ใช้รถสมัยนี้ทุกคนคงรู้จัก "ไฟฉุกเฉิน" กันเป็นอย่างดี ลองหาสวิทช์กันดู เป็นสวิทช์สีแดง มีสัญลักษณ์เป็นรูปสามเหลี่ยม หรือไม่ก็มีคำว่า Emergency แทน ถ้าสังเกตตำแหน่งที่อยู่ ซึ่งโรงงานผู้ผลิตเขาเลือกให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใกล้และไม่ไกลนัก นั่นคือ ผู้ขับสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ถึงขั้นสะดวกเหมือนสวิทช์ไฟเลี้ยว (กลับไม่ค่อยมีคนใช้ เวลาจะเลี้ยว...!!!???)
ก็เพราะไฟฉุกเฉินไม่ได้มีไว้สำหรับให้เราใช้งานพร่ำเพรื่อ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Emergency Light แปลตรงตัวได้ว่า ไฟฉุกเฉิน ให้ใช้ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน และต้องการให้ผู้อื่นทราบเเช่น รถประสบอุบัติเหตุ หรือเสียจอดกีดขวางอยู่ และกฎหมายกำหนดให้ใช้ "ไฟฉุกเฉิน" เฉพาะกรณีรถที่ "จอดเสีย" อยู่กับที่เท่านั้น!
จะทำให้ผู้ที่ขับรถตามหลังมา รวมถึงผู้ร่วมใช้ถนนอื่นๆ ไม่สามารถรู้ถึงความต้องการของเราได้เลย ว่า... ต้องการจะเปลี่ยนเลนซ้าย หรือขวา หรือต้องการที่จะจอด เนื่องจากไฟเลี้ยวที่เราเปิดนั้น (กะพริบด้านเดียว) จะไม่ทำงานขณะเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ (เห็นเพียงไฟกะพริบสองด้านพร้อมกัน) และที่สำคัญไปกว่านั้น การเปิดไฟฉุกเฉินยังส่งผลให้ดวงตาของผู้ขับขี่พร่าเบลอได้ จากการหักเหของแสงสีเหลือง (เป็นแสงที่มีความสามารถในการจับวัตถุในที่มืดได้ดี) ที่กระทบกับหยดน้ำฝน หรือพื้นถนนที่มีน้ำขัง เข้าสู่ดวงตาเรา และยิ่งมีรถหลายคันเปิดไฟฉุกเฉินพร้อมกันด้วยแล้ว จะกะระยะได้ยาก สายตาจะเบลอจนตาลาย ไม่รู้คันไหนจะเลี้ยวไปทางไหน?
โดยเฉพาะพวกที่เลี้ยวซ้าย เพราะถือว่าตนเองไม่เสี่ยงอันตรายใดๆ แต่พอตรงไปกลับเปิดไฟฉุกเฉินแทน ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะขอทางจากใครที่ไหน ? วิธีนี้อันตรายมาก รถที่มาจากทางด้านซ้าย จะเข้าใจว่ารถที่เปิดไฟฉุกเฉินกำลังเปิดไฟเลี้ยวซ้ายอยู่ เพราะเห็นแต่ด้านซ้าย ส่วนรถที่ตามมาข้างหลังก็อาจเข้าใจว่ารถนี้เปิดไฟเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งอยู่ หากไฟอีกด้านถูกรถคันอื่นบังอยู่ ซึ่งโอกาสเช่นนี้เกิดขึ้นได้บ่อยมาก เพราะฉะนั้นถ้าจะตรงไป ไม่ต้องเปิดไฟอะไรทั้งสิ้น
อ่านบทความนี้กันแล้ว หวังว่าหลายท่านคงทราบถึงผลเสียของการใช้ไฟฉุกเฉินผิดที่ผิดเวลาอย่างกระจ่างแน่นอน
ที่มา AutoinfoOnline
Follow Motor Expo Club Network