May 20 , 2016 FORD ADVANCED DRIVING EXPERIENCE FORD คือ ค่ายรถที่นำเสนอนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ติดตั้งในรถยนต์หลากหลายรุ่น รวมไปถึงกระบะ RANGER และเอสยูวี EVEREST ครั้งนี้ทีมงานของเราได้ร่วมทริปทดลองขับพร้อมกับอุปกรณ์ความปลอดภัยหลายรายการที่ถูกติดตั้งในรุ่นทอพของทั้ง 2 รุ่น (ดูรายละเอียดของรถแต่ละรุ่นได้ที่ www.ford.co.th ) เราเริ่มการเดินทางกับกระบะ RANGER แต่อุปกรณ์ดังต่อไปนี้มีติดตั้งในเอสยูวี EVEREST เช่นกัน ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (ADAPTIVE CRUISE CONTROL) นับเป็นครั้งแรกของรถกระบะที่มีระบบนี้ติดตั้งมาให้ ผู้ขับสามารถตั้งความเร็ว รวมถึงระยะห่างจากรถคันหน้า (คำนวณเป็นระยะเวลาที่เข้าหารถคันหน้า) ได้ตามต้องการ หากระบบพบว่ารถคันหน้าขับช้ากว่าความเร็วที่ถูกตั้งเอาไว้ รถจะชะลอความเร็วลงให้เท่ากับรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ ทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสม หากรถคันหน้าเปลี่ยนเลนออกไป หรือเราเปลี่ยนเลนเพื่อแซง ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงตัวเลขที่เราตั้งค่าเอาไว้ โดยอัตโนมัติเช่นกัน การชะลอความเร็วใช้การเบรค (ไฟเบรคยังขึ้นตามปกติ เพื่อรถคันหลังจะได้มองเห็น) และลดการส่งกำลังของเครื่องยนต์บางส่วน ต่างจากระบบครูส คอนโทรล ทั่วไปที่สามารถรักษาความเร็วให้คงที่เท่านั้น แต่ผู้ขับต้องทำการชะลอความเร็วด้วยตนเอง จุดที่ต้องระวัง : ระบบนี้จะตรวจจับระยะห่างจากรถคันหน้าแบบเต็มคัน หากมีรถที่ทำการขับแบบคร่อมเลน (เข้ามาในเลนของเราไม่เต็มคัน) ระบบอาจตรวจจับไม่ได้ รวมไปถึงทางโค้งระบบอาจไม่ทำงานเช่นกัน ต่อมาคือการทดลองระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (LANE KEEPING SYSTEM) อาศัยแสงอินฟาเรด ตรวจจับเส้นแบ่งเลนบนถนน ทั้งด้านซ้ายและขวา แสดงผลบนจอดิจิทอลตรงกลางมาตรวัดด้วย หากระบบพบว่ารถมีการเคลื่อนไหวคร่อมเส้นแบ่งบนถนนโดยไม่มีการเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะสั่งงานไปยังพวงมาลัยให้หักเลี้ยวไปยังทิศทางตรงกันข้ามเล็กน้อย เพื่อกลับมาอยู่ในเลนถนน พร้อมกับส่งแรงสั่นสะเทือนเป็นการเตือนผู้ขับขี่ จุดที่ต้องระวัง : แม้มีระบบช่วยเหลือดังกล่าว ผู้ขับต้องจับพวงมาลัยตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัย และการควบคุมทิศทางที่เหมาะสมอย่างแท้จริง (ระบบสามารถตรวจทราบได้ว่าผู้ขับเอามือจับพวงมาลัยหรือไม่) นอกจากนี้หากเส้นแบ่งเลนค่อนข้างจาง หรือฝนตกหนักระบบอาจไม่ทำงานเป็นบางเวลา อีกหนึ่งระบบที่ทำงานต่อเนื่องกัน นั่นคือ ระบบแจ้งเตือนการเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ (DRIVER ALERT SYSTEM) เมื่อระบบพบว่าตัวรถมีการเคลื่อนที่คร่อมเส้นแบ่งถนนบ่อยครั้ง ระบบจะอนุมานไว้ก่อนว่า ประสิทธิภาพการขับขี่ของผู้ขับกำลังลดน้อยลง (เช่น ง่วงนอน เหนื่อยล้า หรือหลับในเบื้องต้น) ระบบจะแจ้งเตือนด้วยเสียง และขึ้นสัญลักษณ์ถ้วยกาแฟบนจอดิจิทอลกลางมาตรวัด ให้ผู้ขับทำการหยุดพัก (การแจ้งเตือนจะหยุดลง หากรถหยุดสนิท ดับเครื่อง และเปิดประตู) จุดที่ต้องระวัง : ระบบทำได้แค่แจ้งเตือนเท่านั้น แต่การขับขี่ต่อไปหรือไม่ ขึ้นกับวิจาณณญาณของผู้ขับ หากพิจารณาแล้วว่าผู้ขับมีอาการเหนื่อยล้า หรือไม่สามารถขับขี่ต่อไปได้ ไม่ควรฝืนขับมากเกินไป ควรหยุดพัก เพื่อผ่อนคลายอิริยาบทก่อนจะปลอดภัยกว่า ถัดมา คือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FORWARD COLLISION WARNING SYSTEM) ทำงานที่ความเร็ว 5 กม./ชม. ขึ้นไป ผู้ขับสามารถตั้งค่าระยะเวลาความห่างจากรถคันหน้าได้ (ไม่ใช่ระยะทางโดยตรง เพราะระบบจะคำนวณเวลาการเข้าหารถคันหน้า ขึ้นอยู่กับความเร็วที่รถแล่นด้วย) หากรถแล่นเข้าใกล้รถคันหน้ามากขึ้น ในเบื้องต้นระบบจะแจ้งเตือนด้วยแถบไฟแอลอีดีสีแดง สะท้อนแสงผ่านกระจกหน้า แต่หากรถยังแล่นเข้าใกล้จนอยู่ในระยะอันตราย แถบไฟจะขึ้นเตือนครบทุกดวง พร้อมกับการเตือนด้วยเสียงอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้หากอยู่ในระยะกระชั้นชิด ระบบจะเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรครอเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ขับสามารถเบรคฉุกเฉิน เลี่ยงการปะทะได้ทันเวลา จุดที่ต้องระวัง : ระบบดังกล่าวเน้นที่การแจ้งเตือน หากรถเคลื่อนเข้าไปใกล้รถคันหน้าในระยะกระชั้นชิด (ตามที่ปรับตั้งเอาไว้) และเตรียมพร้อมระบบเบรคล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ระบบเบรคจนกระทั่งหยุดสนิทโดยอัตโนมัติ (เหมือนที่รถยนต์หลายรุ่นมีติดตั้ง) การเบรคยังเป็นหน้าที่ของผู้ขับ ไม่ว่าจะชะลอความเร็ว หรือหยุดสนิท ยังมีอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ทั้ง RANGER และ EVEREST นั่นคือ ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ หากเป็นเวลากลางคืน พื้นถนนโดยรอบมีความมืด และไม่มีรถสวนทางมา ระบบจะปรับให้เป็นไฟสูงอัตโนมัติ หากพบว่ามีแสงไฟจากรถที่สวนมา ระบบจะปิดไฟสูงโดยอัตโนมัติเช่นกัน (ทำงานที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ขั้นไป) อย่างไรก็ตามเราไม่ได้ทดลองระบบนี้เนื่องจากทริปทดลองขับเป็นเวลากลางวัน ยังมีระบบการใช้งานอีก 2 อัน แต่จะมีติดตั้งเฉพาะเอสยูวี FORD EVEREST ตัวทอพเท่านั้น นั่นคือ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (ACTIVE PARK ASSIST) สำหรับการจอดเทียบข้าง ระบบอาศัยเซนเซอร์รอบคันเป็นตัววัดระยะของช่องจอด ผู้ขับต้องเปิดการทำงานของระบบนี้ก่อน และแล่นรถช้าๆเป็นแนวตรงไปตามช่องจอดด้านข้าง หากระบบตรวจพบระยะห่างที่มาพอ (กำหนดที่มากกว่า 20% ขึ้นไปของความยาวรถ) จะแจ้งบอกบนจอดิจิทอล ผู้ขับก็หยุดรถ และเข้าเกียร์ถอย R ควบคุมแรงเบรคให้รถถอยจอดช้าๆ ส่วนการหักเลี้ยวพวงมาลัยเป็นหน้าที่ของระบบช่วยจอดล้วนๆ หากถอยได้ที่แล้วก็เข้าเกียร์เดินหน้า D ตามคำแนะนำของระบบ ตัวรถก็จะจอดเทียบข้างในตำแหน่งที่เหมาะสมพอดี จุดที่ต้องระวัง : การถอยจอดด้วยระบบกังกล่าว ควรใช้ความเร็วต่ำ หากมีความเร็วเกินกำหนด ระบบจะปล่อยให้ผู้ขับหักเลี้ยวด้วยตนเอง นอกจากนี้พวงมาลัยที่หักเลี้ยวด้วยระบบช่วยจอด จะหมุนค่อนข้างเร็ว ไม่ควรเอามือไปขวางด้านในของพวงมาลัย และระหว่างหาระยะช่องจอด ควรขับช้าๆ สุดท้าย คือ ระบบตรวจจับขณะถอยออกจากซองจอด (CROSS TRAFFIC ALERT) คอยตรวจจับรถที่มาจากด้านหลังซ้าย/ขวาขณะทำการถอยออกจากที่จอดรถ เนื่องจากการเป็นรถเอสยูวีขนาดใหญ่ การถอยออกจากที่จอดทำให้มีจุดบอดค่อนข้างมาก กว่าผู้ขับจะมองเห็น ตัวรถก็ขยับออกไปเกือบทั้งคันแล้ว ระบบดังกล่าวจะช่วยเตือนล่วงหน้า หากมีรถกำลังแล่นอยู่ (ตรวจจับรถที่แล่นเข้ามาที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.) จุดที่ต้องระวัง : ระบบดังกล่าวออกแบบมาสำหรับการถอยออกมาในบริเวณที่จอดรถ ซึ่งโดยปกติรถคันอื่นมักจะใช้ความเร็วไม่สูงมาก หากเป็นถนนหลักที่รถแล่นผ่านข้างหลังด้วยความเร็วสูง ระบบอาจตวจจับไม่ทัน ต้องใช้ความระมัดระวัง นอกจากนี้หากมีสิ่งกีดขวางสัญญาณของระบบตรวจจับ (เช่น การจอดในแถวเฉียง) ระบบจะแจ้งเตือนว่าการตรวจจับของระบบมีสิ่งกีดขวางบดบังอยู่ ผู้ขับต้องใช้ความระมัดระวังให้ดี หลังจากการทดลองขับและใช้งานแต่ระบบตามที่กล่าวมา ต้องยอมรับว่า FORD นั้นล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีต่างๆ อย่างแท้จริง ช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความสะดวกสบาย สำหรับรถกระบะ RANGER หรือเอสยูวีคันใหญ่อย่าง EVEREST แม้อุปกรณ์หลายรายการจะมีติดตั้งให้เฉพาะรุ่นทอพ แต่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับความปลอดภัยของผู้โดยสาร ปล. ส่วนผู้ที่ยังสงสัยเรื่องคุณภาพของศูนย์บริการ ทาง FORD ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รับทราบปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด และมีการพัฒนาเรื่องบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่องครับผม :) ภาพที่เกี่ยวข้อง ............. คำค้นหา ............. FORD RANGER EVEREST SAFETY ADVANCED TEST DRIVE บทความที่เกี่ยวข้อง .............